ขณะที่ยังงัวเงียเมื่อเช้านี้ สหายท่านหนึ่งโทรมาแต่เช้าด้วยน้ำเสียงวิตกและดูหงุดหงิดเล็กน้อยหลังจากรู้ว่าภูเขาเทือกเดียวกับ ‘แหล่งโบราณคดีถ้ำหลังโรงเรียน‘ กำลังถูกบริษัทเอกชนขอสัมปทานระเบิด
ส่วนผมเมื่อแรกรับโทรศัพท์ไม่รู้เรื่องอะไรก็ว่าจะกลับไปนอนต่อ แต่พอฟังเรื่องแล้วก็หูผึ่งเหมือนกัน
เรื่องมันมีอยู่ว่า เวลานี้บริษัทระเบิดหินเอกชนแห่งหนึ่งกำลังขอสัมปทานรัฐเข้าไประเบิดภูเขาลูกหนึ่ง(ทั้งลูก) ในจังหวัดกระบี่ แน่นอนว่าตามหลักการต้องศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก่อน ไปไปมามา ผลสำรวจออกมาว่าเป็นไอ้เขาลูกเดียวกับ ‘แหล่งโบราณคดีถ้ำหลังโรงเรียน‘ มรดกทางวัฒนธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ต้องอนุรักษ์ ดังนั้นตามหลักการเช่นกันจึงต้องมีการสำรวจทางโบราณคดีก่อนว่าสามารถทำสัมปทานระเบิดหินบนเขาลูกนี้ได้หรือไม่ หรือมีความสำคัญเพียงพอที่จะต้องอนุรักษ์ไว้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ
แต่ที่น่าติดใจคือ เมื่อบริษัททำเรื่องไปทางกรมศิลปากรก็ปรากฏคำตอบที่คุ้นเคยตามประสาราชการแบบไทยๆว่า ‘ไม่มีงบประมาณ‘ เอาล่ะซี เงินเป็นล้านๆ แม่งไม่ยอมสำรวจให้ บริษัทเอกชนมีหรือจะยอมปล่อยอ้อยที่อยากจะเคี้ยว ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตามผลการสำรวจทางโบราณคดีต้องมีขึ้น แน่นอนกฎหมายก็เปิดช่องให้สามารถจ้างบริษัทโบราณคดีเอกชนโดยมีนักโบราณคดีเป็นผู้ควบคุมการสำรวจได้และนำรายงานการสำรวจทางโบราณคดีนั้นมาการันตีว่าสามารถระเบิดเขาได้
แบบนี้คาดผลออกใช่หรือไม่ว่าผลการสำรวจจะออกมาแบบใด ในเมื่อบริษัทที่ต้องการสัมปทานมาเป็นผู้ว่าจ้างสำรวจทางโบราณคดีเอง
จริงอยู่เท่าที่ทราบมา นักโบราณคดีที่ลงไปขุดแหล่งโบราณคดีต่างๆหรือนักโบราณคดีภาคสนามจะมีลักษณะคล้ายๆกันทางวิธีคิดที่ว่าในทุกแหล่งโบราณคดีจะต้องใช้วิชาความรู้และกระบวนการทางโบราณคดีที่ครบถ้วน ตรงไปตรงมาตามหลักจรรยาบรรณและวิชาชีพ(ที่ไม่มีสมาคมรับรองความเป็นวิชาชีพ) แต่ความเป็นจริงสำหรับสังคมไทย รายงานการสำรวจขุดค้นทางโบราณคดีไม่มีความหมายอะไรมากกว่าการจ้างทำหนังสือหนาๆมีรูปเยอะๆเล่มหนึ่งแล้วก็เอาไปเก็บไว้ตรงส่วนไหนก็ไม่รู้ในซอกหลืบอาคารกรมศิลปากร และมันจะมีความหมายมากกว่านี้ได้อย่างไรในเมื่อบางทีคนในแวดวงโบราณคดีเองก็ยังอ่านรายงานทางโบราณคดีไม่รู้เรื่อง มิพักคนทั่วไปอย่างเราๆท่านๆจะรู้เรื่องได้อย่างไรว่าสำคัญหรือไม่หากไม่แปลความออกมาซึ่งหึๆๆๆ คนในวงการโบราณคดีก็ไม่ค่อยจะมีใครแปลความมาเป็นองค์ความรู้ให้สังคมวงกว้างสักเท่าไร
ความไม่รู้เป็นจนไม่มีองค์ให้สังคม ก็คือกระดาษหนาที่เป็นประโยชน์กับผู้รู้จักทำธุรกิจ คงรู้ๆกันอยู่ว่าการลงทุนในลักษณะสัมปทานทรัพยากรธรรมชาติต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศไทยนั้น บริษัทต่างๆที่ทำธุรกิจด้านนี้ต้องการแค่ให้มีผลสำรวจต่างๆ เช่น ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ความสำคัญทางโบราณคดี ออกมาเป็นหนังสือหนาๆแต่อ่านไม่รู้เรื่องตามระเบียบราชการเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายเท่านั้นเอง ส่วนผลสำรวจนั้นจะออกมาอย่างไรไม่ใช่เรื่องที่ต้องเสียแรงใส่ใจ
เพราะสิ่งที่บริษัทนักลงทุนต้องเสียแรงและต้องใส่ใจทำอย่างเป็นเรื่องปกติก็คือการไปวิ่งเต้นข้าราชการตัวโตๆ ให้อนุมัติผ่านโครงการโดยอ้างจากรายงานการสำรวจที่ไม่มีอะไรสำคัญอยู่เสมอ(หินก้อนหนึ่งถูกกระเทาะโดยใครไม่รู้เมื่อหลายล้านปีก่อนมันจะสำคัญสู้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบนกระดาษสีออกเทาๆม่วงๆหลายๆใบได้อย่างไร) ดังนั้นเงินไม่กี่ล้านบาทผ่านมือสู่ข้าราชการที่ปกติเข้าเกียร์ว่างให้เข้าเกียร์หนึ่ง สอง สาม ในโครงการหลายร้อยหลายพันล้านบาทมัน โอ….มันช่างคุ้มค่านัก
กรณีที่กำลังจะเกิดที่จังหวัดกระบี่นี้ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่วงการโบราณคดีควรต้องจับตากันต่อไปว่าจะมีทิศทางใด ขณะเดียวกันคงต้องทบทวนจริงๆจังๆสักครั้งว่าจะให้เป็นแบบนี้ต่อไปหรือ ในเมื่อระบบโครงสร้างราชการไทยนั้นขาดความน่าเชื่อถืออย่างรุนแรงแต่มีอำนาจอย่างรุนแรงเช่นนี้
ในสังคมโบราณคดีนั้นขาดการเช็คแอนบาลานซ์ความจริงทางโบราณคดีในโครงการต่างๆ พูดได้ว่าแทบไม่มีให้เห็นเลยทีเดียว ทั้งๆที่หากพิจารณาคุณภาพในทางวิชาการแล้วนักวิชาการโบราณคดี ในสถาบันการศึกษาอย่างคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากรนั้นมีเพียงพอที่จะสามารถคัดคานบางเรื่องได้ด้วยหลักการในฐานะเสาหลักทางวิชาการที่มีความเป็นสถาบันรองรับอย่างเป็นทางการ
แต่ทำอย่างไรเสาหลักทางวิชาการโบราณคดีจะออกมาเป็นเสาหลักจริงๆได้เสียที ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมานี้แทบเรียกได้ว่า ปรากฏการณ์แบบนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้น อาจจะมีบ้างในกรณีเขาพระวิหาร หรือ ทับหลังนารายณ์บรรทมศิลป์ เมื่อเป็นสิบๆปีก่อน แต่หลังจากนั้นมาก็ไม่เคยมีนักวิชาการคณะโบราณคดีออกมาทำงานคู่ขนานไปกับสิ่งที่กรมศิลปากรรับผิดชอบจนทั้งสังคมมองเหมือนกับไปในเนื้อเดียวกันกับกรมศิลปากร ทั้งที่ หน้าที่ในฐานะนักวิชาการมีความสำคัญมากในการตรวจสอบอย่างจริยธรรมทางวิชาการของผู้ใหญ่ในกรมศิลปากรและผู้บริหารบ้านเมือง การเป็นเสาหลักประวัติศาสตร์ให้สังคมไทยที่แท้จริงนั้นจึงมีความสำคัญ
ผมคงไม่ถึงขั้นเรียกร้องให้นักวิชาการคณะโบราณคดีทุกคนต้องออกมาทำอะไรทุกกรณี เพียงแต่อย่างน้อยๆการสนใจติดตามพูดถึงอย่างดังๆให้สังคมได้คิดในกรณีที่เป็นประเด็นสุ่มเสี่ยงทางประวัติศาสตร์ การชวนนักศึกษาขบคิดเกี่ยวกับรายงานผลสำรวจต่างๆ การทำหนังสือโต้แย้ง คัดค้าน การอนุมัติโครงการต่างๆของรัฐและกรมศิลปารกรก็ควรมีขึ้นเพื่อสร้างบรรยากาศทางวิชาการใหม่ในสังคมโบราณคดีให้เกิดขึ้น เป็นต้น
บางสิ่งบางอย่างที่หายไปจากสังคมโบราณคดีควรถูกฟื้นอย่างจำเป็น จำได้ว่าในอดีตนักศึกษาโบราณคดีก็สามารถทำโครงการของบประมาณในการเก็บข้อมูลพื้นที่โบราณคดีต่างๆได้ทั้งในส่วนของนักศึกษาคณะโบราณคดี หรือในส่วนของชมรมอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมที่ตั้งขึ้นมาอย่างยาวนานเพื่อทำงานทางด้านนี้ในช่วงดำริเริ่มชมรม(ฟังคนอื่นเขาเล่ามา) ดังนั้น หากต่อไปจะมีผลงานโบราณคดีที่เกี่ยวข้องกับภาพรวมของสังคมออกมาบ้างในส่วนนักศึกษาก็ยิ่งจะเป็นเรื่องน่าปลื้มปีติ
ขุนพลน้อย 26 ม.ค. 50