Nativity Story กำเนิดพระเจ้ายามคนหลับใหล

yesu.jpg

ที่มา : ไทยโพสต์

บริษัทผู้สร้าง : นิว ไลน์ ซิเนมา

ผู้กำกับภาพยนตร์ : แคธเธอรีน ฮาร์ดวิค

บทภาพยนตร์ : ไมค์ ริช ประเภทหนัง : Drama / Family / Rated PG Runtime 101 min

เรื่องของคนใจดำใจจืดคงมีมาตั้งแต่คนยังอยู่ในถ้ำกระมัง แต่ไม่ใช่เกิดกับนิสัยของคนทุกคนแน่นอน ความใจดำใจจืดนี้สำหรับชาวคริสต์ทุกคนทราบว่า มันเคยเกิดขึ้นจำเพาะกับทารกน้อยคนหนึ่งมาแล้ว ในเดือนธันวาคมเมื่อ 2006 ปีที่ผ่านมา ณ ตำบลเบธเลเฮม ซึ่งในภาพยนตร์เรื่อง The Nativity Story เล่าไว้ให้ผู้ชมเห็นว่า เวลาที่พระมารดาของพระเยซูจะทรงให้กำเนิดพระองค์นั้น เป็นช่วงมืดค่ำซึ่งผู้คนต่างหลับใหลและอยู่ในที่พักของตนเอง ที่สำคัญไม่มีใครใส่ใจกับสตรีที่เดินทางมาจากต่างถิ่นและกำลังจะคลอดแต่ยังหาที่พักไม่ได้ โยเซฟผู้พิทักษ์และพระมารดาจำใจต้องใช้คอกสัตว์เป็นสถานที่คลอดพระเยซู ซึ่งแน่นอนมูลของสัตว์ในคอกต้องเหม็นตลบ พระเจ้าทรงกำเนิดเป็นมนุษย์ในเล้าแพะเล้าแกะยามคนหลับใหล ที่แท้เป็นพระประสงค์ของพระองค์เพื่อให้คนเห็นเป็นแบบอย่างว่า แม้แต่พระเจ้ายังไม่รังเกียจความต่ำต้อย แล้วไฉนคนรังเกียจผู้ที่ยากจนต่ำต้อยด้วยเล่า

ความอารีอารอบแบ่งปันกันสำหรับคนเป็นสิ่งทำได้ยากยิ่งหรือในเมื่อนั่นหมายถึงความรัก The Nativity Story เล่าเรื่องตามความเชื่อของชาวคริสต์ เกี่ยวกับการเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระผู้เป็นเจ้า แต่พระองค์ถูกตามล่าสังหารจากผู้ครองนครเยรูซาเลม เพราะมีคำทำนายว่าพระผู้ไถ่จะเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระกุมารน้อยจะเป็นราชาเหนือราชาทั้งปวง เพื่อปลดปล่อยประชากรพ้นการถูกกดขี่ข่มเหงจากเจ้าผู้ปกครอง หนังเล่าถึงการเสด็จมาเกิดเป็นมนุษย์ของพระผู้เป็นเจ้าว่า เทวทูตกาเบรียล (อเล็กซานเดอร์ ซิดดิก) ได้ประจักษ์ตนมาแจ้งแก่มารี (ไคชา แคสเซิล-ฮิวส์) หญิงสาวชาวบ้านนาซาแร็ทว่าพระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาเกิดเป็นมนุษย์ในครรภ์ของเธอ ในฐานะเด็กสาวที่เพิ่งรับหมั้นอย่างไม่เต็มใจ จากชายหนุ่มจิตใจงดงามนามโยเซฟ (ออสการ์ ไอแซค) มารีไม่อยากเชื่อว่าเรื่องเช่นนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะประเพณีชาวยิวเวลานั้นพ่อแม่เป็นผู้คลุมถุงชน ห้ามคู่หมั้นอยู่ด้วยกันจนกว่าเวลาจะครบขวบปีหลังการหมั้น หากฝ่ายหญิงตั้งครรภ์ก่อนครบขวบปีถือเป็นเรื่องเสื่อมเสีย ชุมชนจะรังเกียจถึงขั้นหญิงผู้นั้นต้องถูกประชาทัณฑ์ด้วยก้อนหิน ถ้าไม่มีผู้รับเป็นพ่อของเด็ก

ความจริงสำหรับมนุษย์คือหญิงพรหมจรรย์จะตั้งครรภ์ได้อย่างไร แต่สำหรับพระผู้เป็นเจ้าซึ่งไม่ใช่มนุษย์ย่อมทำได้ ก่อนนั้นพระองค์ได้ให้นางเอลิซาเบธ (โซห์เรห์ อักดาชูล) ซึ่งเป็นญาติของมารีตั้งครรภ์ทั้งๆที่อายุของนางมากเกินกว่าจะมีบุตรได้ กรณีของเอลิซาเบธเทวทูตได้ประจักษ์ตนมาแจ้งแก่เศคาริยาห์ (สแตนลีย์ ทาวน์เซนด์) สามีของนาง แต่เศคาริยาห์ไม่เชื่อว่าอายุอานามอย่างพวกเขาจะมีบุตรได้อย่างไร ผลก็คือเศคาริยาห์ถูกพระเจ้าลงโทษให้เป็นใบ้ในทันทีทันใด ต่อเมื่อภรรยาของเขาคลอดบุตรแล้วเขาจึงเปล่งเสียงได้ และตั้งชื่อลูกว่าจอห์นซึ่งเป็นนามที่เทวทูตบอกแก่เขาไว้ เหตุนั้นระหว่างจอห์นกับพระเยซูจึงนับเป็นญาติกัน

จอห์นคือบุคคลที่พระผู้เป็นเจ้าให้มาเตรียมประชากร ไว้รอรับคำสอนของพระเยซูในฐานะบุตรของพระเจ้า เพราะเวลาต่อมาจอห์นกลายเป็นนักบวชและได้ทำพิธีล้างบาปแก่พระกุมารเยซู เรื่องราวเนื้อหาในหนังดำเนินอย่างเล่าไปเรื่อยๆ ไม่มีเหตุการณ์ช่วงตื่นเต้นกดดันอารมณ์อย่างหนังแนวดรามาทั่วไปเขาทำกัน แม้แต่ฉากการตามไล่ล่าสังหารทารกเพศชายที่มีอายุระหว่างแรกคลอดถึงสองขวบ หนังยังเล่าเหตุการณ์อย่างปกติเหมือนภาษาเขียนในพระคัมภีร์คงจะเห็นว่าเป็นเรื่องราวทางศาสนาหรืออย่างไรไม่ทราบ แต่หากเปรียบเทียบกับหนังของเมล กิ๊บสัน เรื่อง The Passion of the Christ ซึ่งเป็นเหตุการณ์มหาทรมานของพระเยซู นับว่าห่างไกลกับลิบลับในฉากความรุนแรง ทั้งๆ ที่เรื่องจริงเฮร็อด (ซีอาราน ไฮนด์ซ) ผู้ครองนครแห่งแค้วนยูดาย สั่งฆ่าเด็กทั่วแคว้นตายเกลื่อนเหมือนสัตว์โดนเบื่อยา ซึ่งประวัติศาสตร์บันทึกความโหดนั้นว่า การสังหารหมู่ผู้บริสุทธิ์ บทบาทการแสดงของไคชา แคสเซิล-ฮิวส์ ชวนอึดอัดด้วยไม่น้อย เพราะเธอเล่นในบทของมารีซึ่งเป็นหญิงสาวเรียบร้อย กิริยาอารมณ์อย่างเด็กสาววัยรุ่นคนอื่นจึงไม่ปรากฏให้เห็น คาดว่าผู้สร้างบทภาพยนตร์อาจลำบากใจเช่นกัน เพราะข้อมูลเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของพระนางมารี พระมารดาของพระเยซูมีบันทึกไว้น้อยมาก ซึ่งย่อมเป็นเรื่องแน่นอนที่จะเขียนบทให้มีสีสรรเกินงาม คงต้องโดนต่อว่าต่อขานอย่างไม่สงสัยจากผู้ชมชาวคริสต์

เพราะฉะนั้นในหนังจึงแสดงให้เห็นเพียงจินตนาการของผู้สร้างผู้กำกับที่เนรมิตบ้านนาซาแร็ท ว่าน่าจะเป็นอย่างไรเมื่อสองพันกว่าปีที่แล้ว ซึ่งพิจารณาดูเห็นว่าหนังทำฉากได้สมเหตุสมผลน่าเชื่อถือ ที่กล่าวนี้ไม่ได้หมายความว่าหนังไม่น่าดู

หนังเรื่องนี้เหมาะสำหรับทั้งผู้เลื่อมใสศรัทธาในคริสต์ศาสนา และทั้งผู้ที่ยินดีเปิดใจรับความแตกต่างด้านความเชื่อของผู้อื่น เพราะเรื่องราวสื่อถึงความยิ่งใหญ่ของความรักที่คนยังพร่องยังขาด