26 พ.ค. 51
ไม่คิดว่าจะต้องรำลึกถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 กันตั้งแต่เดือนพฤษภาคมของปีนี้ เพราะเดือนพฤษภาคมก็มีประวัติศาสตร์บาดแผลจากเหตุการณ์ พ.ศ. 2535 ที่ต้องรำลึกกันอยู่แล้ว แต่ด้วยบรรยากาศทางสังคมที่เป็นอยู่ คนร่วมสมัยนั้นหรือผู้ที่ศึกษาเรื่องราวในปี 2519 ค่อนข้างกังวลกันมากว่ามันคล้ายกับบรรยากาศใน พ.ศ. 2519 ที่มีความล่อแหลมทางสถานการณ์และกลิ่นคาวเลือดอย่างยิ่ง โดยเฉพาะปรากฏการณ์การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนบางองค์กรที่สร้างภาพลักษณ์ของตัวเองให้ ‘อนุรักษ์นิยม’ ตกโลก และทำหน้าที่นักปลุกระดม “เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์” แบบเดียวกับสื่อมวลชนกลุ่มหนึ่งใน พ.ศ. 2519 เคยทำหน้าที่นี้ด้วยการจัดผู้ที่มีความคิดเห็นต่างไปวางไว้ในฝ่ายที่ต้องจี้ให้รัฐปราบปราม วิธีการที่ไม่ปรับปรุงเลยแม้จะล่วงผ่านเวลามากว่า 30 ปีแล้วก็คือการแปะยี่ห้อบนหน้าผากอีกฝ่ายไว้ก่อนว่า ‘ผู้ล้มล้างสถาบัน’ เพราะสามารถสร้างกระแสอารมณ์ทางสังคมให้จัดการคนเหล่านี้ได้อย่างไม่เลือกวิธีใช้และอาจจะไม่บาปด้วย
หากพูดถึงการกระทำอันป่าเถื่อน โหดเหี้ยมและไร้มนุษยธรรมที่สุดของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ในประเทศไทย จะต้องถูกนับไว้ในนั้นด้วยและชนวนเหตุสำคัญที่นำไปสู่ความป่าเถื่อนในครั้งนั้นก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดถึงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนโดยเฉพาะการนำเสนอข่าวของหนังสือพิมพ์ชื่อ ‘ดาวสยาม’
หนังสือพิมพ์ ‘ดาวสยาม’ เป็นหนังสือพิมพ์ที่มีหัวชื่อหนังสือสีส้ม แต่สำหรับนักศึกษาในยุค 2519 เรียกว่า ‘กระดาษเปื้อนหมึกสีส้ม’ มีสัญลักษณ์เป็นรูปปลาดาวสีขาวเปล่งรัศมี 32 แฉกภายในวงกลม โดยมีตัวพิมพ์สีดำว่า ‘ดาว’ อยู่ตรงกลาง บรรทัดถัดไปเป็นคำขวัญ “หนังสือพิมพ์เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์” ฉบับแรกออกเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2517 แต่มามีบทบาทครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ในวันที่ 4,5 และ 6 ตุลาคม 2519 และอาจเป็นไอด้อลของสื่อมวลชนไทยหลายฉบับในขณะนี้
โดมิโนสังคมนิยม 2519 ‘ความกลัว’
วันที่ 6 ตุลาคม 2519 เกิดกรณีสังหารหมู่นักศึกษาและประชาชนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 39 คน และบาดเจ็บ 145 คน [1] (แต่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันบอกว่ามีคนตายเพียง 1 คนเท่านั้น) สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือการนองเลือดครั้งนี้ไม่มีการจับกุมฆาตกรผู้สังหารเลยแม้แต่คนเดียว ในทางตรงข้ามนักศึกษาและประชาชนที่เหลือรอดจากการถูกสังหารจำนวน 3,094 คน กลับถูกจับกุมทั้งหมดในวันนั้นเอง [2] ต่อมามี 27 คนถูกอายัดตัวเพื่อดำเนินคดี สุดท้ายตกเป็นจำเลย 19 คน ถูกคุมขังและดำเนินคดีเกือบ 2 ปี
เหตุการณ์เดินมาถึงการสังหารหมู่อย่างเลือดเย็นโดยประชาชนด้วยกันเองและรัฐในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ได้อย่างไร คงต้องย้อนกลับไปมองกันตั้งแต่กรณี 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งนักศึกษาและประชาชนได้ลุกขึ้นมารวมตัวเรียกร้องรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยจากรัฐบาลเผด็จการจอมพลถนอม กิตติขจร ที่สืบทอดอำนาจกันเรื่อยมาตั้งแต่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจรัฐได้ ระบอบนี้ดำเนินต่อเนื่องถึง 16 ปี จนมาถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2516 เมื่อมีการรวมตัวกันของประชาชนดังกล่าวก็สามารถกดดันจนจอมพลถนอม กิตติขจร ต้องประกาศลาออกจากนายกรัฐมนตรี และเดินทางออกนอกประเทศ
ชัยชนะของ 14 ตุลาคม 2516 ทำให้การผูกขาดความคิดโดยรัฐพังทลายลง สังคมไทยมีเสรีภาพทางความคิดเต็มที่ ความรู้ ความคิดแบบสังคมนิยมที่เคยเป็นสิ่งต้องห้ามจึงได้รับความสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกระแสการตื่นตัวของประชาชนที่สนใจในเรื่องความรู้เกี่ยวกับจีนอย่างจริงจัง หัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญที่ทำให้ความคิดสังคมนิยมเป็นที่สนใจมากขึ้นคือ ‘นิทรรศการจีนแดง’ จัดโดยองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี 2517 ซึ่งมีทั้งประวัติบุคคลสำคัญลัทธิคอมมิวนิสต์ ความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับจีน การเมือง การศึกษา เศรษฐกิจและฉายภาพยนตร์ที่มาจากจีนคอมมิวนิสต์ด้วย ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เรื่องราวเกี่ยวกับจีนเผยแพร่ต่อสาธารณะชนในมุมที่หลากหลายอย่างกว้างขวาง [3]
นอกจากนี้ มีหนังสือแนวสังคมนิยมตีพิมพ์ออกมาอีกหลายเล่ม เช่น ศิลปะปฏิวัติ ซึ่งเป็นหนังสือแสดงภาพปั้นชาวนาของจีน (ถูกสันติบาลสั่งเก็บเป็นเล่มแรกในปี 2518 เพราะทางกรมตำรวจได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นหนังสือที่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้) หนังสือคำประกาศแห่งความเสมอภาค ของ คาร์ลมาร์กซและเฟรเดอริก เองเกลส์ วิวัฒนาการของสังคม ของ สุพจน์ ด่านตระกูล หนังสือโฉมหน้าศักดินาไทย ของ จิตร ภูมิศักดิ์ ซึ่งทำสถิติหนังสือขายดี และอีกเล่มหนึ่งซึ่งขายดีเช่นกันคือ ศิลปเพื่อชีวิต ศิลปเพื่อประชาชน
เรื่องราวที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งในยุคนั้นเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจอย่างเสมอจากประชาชนเสมอและถูกตีพิมพ์อย่างมากในปี 2517 คือ กรณีสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล มีการพิมพ์เรื่อง ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ของ สุพจน์ ด่านตระกูล กรณีสวรรคต 9 มิถุนายน 2489 ของ สรรใจ แสงวิเชียร และ วมลพรรณ ปีตธวัชชัย ส่วนเล่มสำคัญในกรณีนี้คือ ‘กงจักรปีศาจ’ ซึ่ง ร.อ.ชลิต ชัยสิทธิเวช แปลจาก The Devil’s Discus ของ Rayne Kruger
บรรยากาศช่วงนี้อาจเรียกว่าเป็นบรรยากาศช่วง ‘ดอกไม้ร้อยเบ่งบาน’ ซึ่งต่อเนื่องไป จนถึงปี 2518 การเผยแพร่ของหนังสือเหล่านี้ถือได้ว่านำมาซึ่งการปฏิวัติภูมิปัญญาของสังคมไทย ทำให้นักศึกษาปัญญาชนจำนวนมากหลุดจากรอบความคิดแบบเก่าสู่โครงสร้างทางความคิดแบบใหม่ คือ สังคมนิยม การที่แนวคิดของสังคมนิยมเป็นที่ยอมรับส่วนหนึ่งเพราะทฤษฎีมาร์กซสามารถวิเคราะห์สังคมเก่าได้อย่างมีพลัง [4] และเสนอทางออกได้ชัดเจนว่า สังคมมนุษย์เป็นสังคมที่มีชนชั้น มีการกดขี่ขูดรีดเอาเปรียบกัน
เพื่อรักษาการขูดรีดนั้น ชนชั้นปกครองจะสร้างรัฐขึ้นมาปกป้องอำนาจตน และสร้างศาสนาและวัฒนธรรมขึ้นมอมเมาประชาชน แต่สาระสำคัญที่ชนชั้นปกครองต้องรักษาไว้คือการขูดรีดทางเศรษฐกิจ แต่ปรัชญาสังคมนิยม มนุษย์เป็นผู้สร้างสังคมของตนเอง ดังนั้น ชนชั้นชาวนาและกรรมกรจึงสามารถกำหนดอนาคตของตนเองได้โดยรวมพลังกันปฏิวัติเพื่อโค่นล้มสังคมที่กดขี่ลง แล้วสร้างสังคมใหม่ของชนชั้นกรรมาชีพที่มนุษย์จะมีความเสมอภาคไม่มีการขูดรีดกัน
เหตุเหล่านี้ทำให้อุดมการณ์สังคมนิยมค่อยๆกลายเป็นอุดมการณ์ของขบวนการนักศึกษาไทย (มีแกนกลางอยู่ที่ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย มีบทบาทสูงมากตั้งแต่ก่อน 14 ตุลาคม 2516) เป็นอาวุธที่ใช้วิพากษ์ชนชั้นและวิเคราะห์สังคม ว่าเป็นสังคมชนชั้น กดขี่ขูดรีด ชนชั้นปกครองสมคบกับจักรวรรดินิยมอเมริกา หนทางแก้ไขจะต้องปฏิวัติประเทศไปสู่สังคมนิยม โค่นล้มทุนนิยม ขุนศึก และศักดินา
การเคลื่อนไหวเหล่านี้เป็นแรงกระตุกที่ทำให้ทั้งผู้ปกครอง ศักดินา และพรรคการเมืองชนชั้นนายทุนเริ่มเกิดความหวาดระแวงต่อแนวทางแบบสังคมนิยม เริ่มมีการกล่าวถึงอีกฝ่ายอย่างแยกขั้ว เช่น พรรคสังคมนิยม 3 พรรคที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นถูกกล่าวหาว่าได้รับเงินจาก เคจีบี. แห่งสหภาพโซเวียต ขายชาติให้เวียดนาม หรือเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นต้น
ปฏิกริยาสะท้อนกลับของฝ่ายรัฐยังรวมไปถึงการใช้ความรุนแรงด้วย โดยมีกรณีสำคัญก่อนหน้าเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 หลายครั้ง ครั้งสำคัญคือ กรณีการเผาหมู่บ้านนาทราย อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย ในวันที่ 24 มกราคม 2517 ทางราชการอ้างว่าผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์เป็นผู้เผา แต่เมื่อนายธียุทธ บุญมี ได้นำนายลม กาญจนสาร ผู้ใหญ่บ้านนาทรายมาเปิดเผยเรื่องราวว่า แท้จริงแล้วเจ้าหน้าที่เป็นผู้เผา ปิดล้อมหมู่บ้านและสังหารชาวบ้านตาย 3 คน ในที่สุดผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคายต้องยอมรับว่าเจ้าหน้าที่เป็นผู้เผา วันที่ 28กุมภาพันธ์ 2517 พล.ท.สายหยุด เกิดผล ผู้อำนวยการป้องกันและปราบปรามภัยคอมมิวนิสต์ ยอมรับว่าเหตุการที่บ้านนาทรายเจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุจริง
อีกกรณีหนึ่งคือ ‘ถีบลงเขา เผาลงถังแดง’ ที่จังหวัดพัทลุง ในระหว่างปี 2514-2516 ฝ่ายเจ้าหน้าที่ปราบปรามคอมมิวนิสต์ภาคใต้ได้ใช้นโยบายเหวี่ยงแหล้อมจับกุมประชาชนไปสอบสวนแล้วฆ่ากว่าสามพันคน กรณีนี้ พล.อ.สายหยุด เกิดผล ชี้แจงในเบื้องต้นว่าให้ฟังหูไว้หู แต่พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา ยอมรับว่ากรณีถังแดงเกิดขึ้นจริง และนำไปสู่กระแสเสนอให้ยุบกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) แต่หน่วยงานนี้ก็ยังคงอยู่มาถึงปัจจุบัน
กระแสสังคมนิยมที่หนุนเนื่องเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆทำให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่กุมอำนาจดูเหมือนจะหวั่นวิตกมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อเกิดกรณีการปฏิวัติไปสู่สังคมนิยมในประเทศกัมพูชาและเวียดนามในเดือนเมษายน พ.ศ. 2518 และการปฏิวัติในลาวปีเดียวกันอันนำมาสู่การยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์ในลาว ยิ่งก่อให้เกิดความหวั่นวิตกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในทำนองเดียวกันในประเทศไทย
กลุ่มต่างๆที่ออกมาเคลื่อนไหวไม่ว่าประเด็นใดๆจึงถูกมองอย่างเหมารวมว่าเป็นคอมมิวนิสต์ไปเสียทั้งหมด รัฐจึงได้เริ่มใช้วิธีการที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆในการจัดการให้กลุ่มต่างๆยุติบทบาทโดยเฉพาะกลุ่มของขบวนการนักศึกษา และวิธีการที่ถูกนำมาใช้ในขั้นสุดท้ายคือการพยายามสร้างเงื่อนไขที่นำไปสู่การรัฐประหารเพื่อนำรัฐบาลที่เข้มแข็งและปราบปรามคอมมิวนิสต์เข้ามาบริหารประเทศแทนรัฐบาลพลเรือน กระบวนการเหล่านี้คือเส้นทางสู่ประวัติศาสตร์เลือด 6 ตุลาคม 2519
จุดชนวนสังหารหมู่จาก ‘ดาวสยาม’ เพื่อ ‘ชาติ ศาสน์ กษัตริย์’
‘ดาวสยาม’ เข้ามาเกี่ยวพันกับสถานการณ์ได้อย่างไร
คงต้องพูดถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังการฆ่านักศึกษาและประชาชนจำนวนมากในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ที่ค่อนข้างคลี่คลายตัวเองในระดับหนึ่งเมื่อคณะทหารในนาม ‘คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน’ ได้ทำการยึดอำนาจล้มเลิกการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในช่วงเย็นวันนั้นเอง และระบอบเผด็จการทหารก็ฟื้นกลับมาอีกครั้งอย่างมีอำนาจและยาวนาน
แต่เงื่อนไขของการฆ่าเพื่อกวาดล้างและการรัฐประหารจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่มีการสร้างความชอบธรรมเพื่อปูเส้นทางเสียก่อน ตั้งแต่ปี 2517 เป็นต้นมา จึงเกิดโฆษณาชวนเชื่อเพื่อทำลายขบวนการนักศึกษาอย่างต่อเนื่องมีตั้งแต่ระดับการสร้างข่าวลือ การปลุกระดมผ่านบทเพลงต่างๆ เช่น ‘เราสู้’ หรือ ‘หนักแผ่นดิน’ ไปจนถึงการเผยแพร่แนวทางผ่านสื่อวิทยุ โทรทัศน์ ซึ่งเป็นของรัฐเสียส่วนมาก รวมไปถึงการใช้หนังสือพิมพ์เป็นสื่อ เช่น รายวัน บ้านเมือง สยามิศร์ คอลัมภ์นิสต์หลายคนในไทยรัฐ และ ‘ดาวสยาม’ ประเด็นที่ถูกยกขึ้นมาใช้ทำลายกระบวนการนักศึกษาอย่างมีนัยยะสำคัญคือการปลุกกระแส ‘ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์’ และกล่าวหานักศึกษาว่าเป็นบ่อนทำลายสถาบันเหล่านี้
หนังสือพิมพ์ ‘ดาวสยาม’ มีบทบาทค่อนข้างสูงในประเด็นเหล่านี้ ในช่วงเวลานั้นมีนายประสาน มีเฟื่องศาสตร์ เป็นเจ้าของ ‘ดาวสยาม’ นำเสนอเนื้อหาในข่าวใส่ร้ายและทำลายภาพลักษณ์ของนักศึกษาอยู่เสมอและหลายครั้งถึงกับใช้คำบริภาษอันหยาบคาย จึงถูกฝ่ายนักศึกษาเดินขบวนต่อต้าน และวางหรีดดำหน้าสำนักงานหลายครั้ง [5] และ ‘ดาวสยาม’ ยังเป็นหนังสือพิมพ์ที่สร้างชนวนเหตุสุดท้ายที่นำพาไปสู่เหตุการณ์อันเลวร้ายที่สุดในวันที่ 6 ตุลาคม 2519
สมศักดิ์ เจียมธีระสกุล อธิบายเงื่อนปมตรงนี้โดยเล่าเหตุการณ์ย้อนไปสู่เช้าวันอังคารที่ 5 ตุลาคม 2519 อีกครั้ง ผ่านบทความ ‘ผู้จัดการ-พันธมิตร กำลังก่อกระแส ‘ละคอนแขวนคอ’ ยุคใหม่’ [6] จับความได้ว่า มีการชุมนุมของชมรมแม่บ้าน เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2519 ที่ลานพระรูปทรงม้า กลุ่มนี้มาเพื่อประท้วงรัฐบาลในขณะนั้น (รัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช) เนื่องมาจากวิกฤติการกลับเข้าประเทศของจอมพลถนอม แต่ในการชุมนุมนั้นมีบางคนในกลุ่มหยิบยกเอาภาพถ่ายการแสดงละครของนักศึกษาธรรมศาสตร์ที่ลานโพธิในเที่ยงวันที่ 4 ตุลาคม 2519 ซึ่งเป็นละครสะท้อนเหตุการณ์แขวนคอช่างไฟฟ้าผู้ประท้วงถนอมที่นครปฐม 2 คน และถูกตีพิมพ์ในหน้า 1 ของบางกอกโพสต์ ฉบับวันที่ 5 ตุลาคม 2519 (บางกอกโพสต์ออกวันละ 1 กรอบตอนเช้า) มาวิพากษ์วิจารณ์ว่า ใบหน้าผู้แสดงเป็นช่างไฟฟ้าที่กำลังถูกแขวนคอในภาพนั้นเหมือนพระบรมโอรสาธิราช แสดงว่า นักศึกษาจงใจหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง กลุ่มจัดตั้งขวาจัดต่างๆในขณะนั้น ได้แพร่กระจายข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอาศัยองค์กรสื่อมวลชนขวาจัด 2 องค์กร คือ นสพ.ดาวสยาม รายวัน และ สถานีวิทยุยานเกราะ เป็นเครื่องมือ โดยสถานีวิทยุยานเกราะออกอากาศปลุกเร้าอารมณ์ผู้ฟังอย่างหนักไม่หยุดตลอดบ่ายวันที่ 5 ข้ามคืนถึงเช้าวันที่ 6 มีการเรียกร้องให้จัดการกับนักศึกษาขั้นเด็ดขาด กระตุ้นความโกรธแค้นผู้ฟังถึงระดับทีหวังผลให้เกิดการใช้กฎหมู่ทำร้ายนักศึกษา ขณะที่ ดาวสยาม ได้ตีพิมพ์กรอบบ่ายเพิ่มจำนวนเป็นพิเศษ เผยแพร่ทั่วกรุงเทพ ในหน้า 1 เกือบเต็มหน้า ได้ตีพิมพ์ขยายรูปที่กล่าวหาว่าเป็นการ “แขวนคอหุ่นเหมือนฟ้าชาย” (นี่คือคำพาดหัว ดาวสยาม ฉบับเช้าวันที่ 6 ตุลา ขอให้สังเกตว่า การปลุกระดมนี้วางอยู่บนการโกหกเพียงใด เพราะการ “แขวนคอ” ใช้คนแสดงจริง ไม่ใช่หุ่น) [7]
ด้านขบวนการนักศึกษาที่มีศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยเป็นกลางและชุมนุมอยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ขณะนั้นก็ได้เปิดแถลงข่าว บอกเล่าความจริงของความเป็นมาของการแสดงละครประท้วงถนอม (ซึ่งเป็นกิจกรรมของนักศึกษาธรรมศาสตร์เอง ไม่ใช่การจัดของศูนย์ฯ) และได้ยืนยันว่ายินดีจะให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการสอบสวนตามกระบวนการทางกฎหมายทุกอย่าง ทั้งยังได้นัดกับนายกรัฐมนตรี จะเดินทางเข้าพบเพื่อชี้แจงในเช้าวันรุ่งขึ้น
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือตั้งแต่ช่วงบ่าย ช่วงกลางคืน วันที่ 5 ตุลาคม ถึงช่วงเช้าวันที่ 6 ตุลาคม คือ การระดมกำลังจัดตั้งติดอาวุธของพวกขวาจัดอย่างขนานใหญ่ บรรดาผู้บงการของพวกเขาทราบดีว่า ถ้าปล่อยให้มีการดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายและกระบวนการทางการเมืองแบบปกติ คือ ให้โอกาสนักศึกษาชี้แจงกับเจ้าหน้าที่และต่อสู้คดี และให้โอกาสนักศึกษาได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนทั่วไป คำโกหกของพวกเขา ก็จะไม่เป็นผล เพราะไม่เป็นเรื่องยากที่จะแสดงให้เห็นว่า ละคอนที่แสดงที่ลานโพธินั้น คือละคอนสะท้อนการฆ่าแขวนคอช่างไฟฟ้าที่นครปฐมเท่านั้น ไม่มีเนื้อหาใดๆเกี่ยวข้องกับราชวงศ์เลย ใบหน้าของผู้แสดงก็ไม่มีการตกแต่งให้เหมือนกับรัชทายาท อย่างที่มีการปล่อยข่าวแต่อย่างใด
ดังนั้น บรรดาผู้บงการขวาจัดจึงเร่งระดมอันธพาลการเมือง และกำลังติดอาวุธของรัฐบางส่วนที่พวกเขาควบคุมได้โดยตรง เข้าทำการปิดล้อมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตั้งแต่คืนวันที่ 5 และเริ่มโจมตีประปรายตั้งแต่กลางดึกคืนนั้น และโดยไม่รอให้ฟ้าสว่างในเช้าวันที่ 6 พวกเขาก็สังการให้กำลังเหล่านั้นทำการโจมตีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างเต็มที่พร้อมเพรียงกัน
สิ่งที่ตามมาคือ การฆ่าหมู่สยดสยองที่เหี้ยมโหดที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่”[9]
สำหรับบทบาทของ ‘ดาวสยาม’ บทความ ‘ชนวน : ภาพแขวนคอที่นำไปสู่กรณี 6 ตุลา’ ของ สมศักดิ์ เจียม ธีระสกุล กล่าวไว้ค่อนข้างชัดเจนว่า มีเพียง ‘ดาวสยาม’ เพียงฉบับดียว (โดยความร่วมมือของวิทยุยานเกราะ) ที่ “นำเสนอข่าวในทำนองว่านักศึกษาจงใจดูหมิ่นเจ้าฟ้าชาย” คือสร้างสถานการณ์ในบ่ายวันที่ 5 ตุลาคม อันนำไปสู่การนองเลือดในวันรุ่งขึ้น [9]
สมศักดิ์ ให้ความเห็นต่อกรณีดังกล่าวในบทความชิ้นเดียวกันว่า แม้ว่าภาพถ่ายละคอนที่ตีพิมพ์ใน บางกอกโพสต์ ฉบับวันที่ 5 ตุลาคม 2519 (ตีพิมพ์ภาพละคอนแขวนคอเป็นที่แรก) จะถูกอ้างและนำไปแจ้งความต่อตำรวจกล่าวหาว่านักศึกษาหมิ่นองค์รัชทายาท แต่ภาพดังกล่าวไม่ใช่ภาพที่ถูกนำมารณรงค์และโจมตีนักศึกษา
อย่างไรก็ตาม สมศักดิ์มองว่ามีความเป็นไปได้ที่กลุ่ม ‘ฝ่ายขวา’ จะได้ไอเดียสร้างสถานการณ์จากการเห็นภาพที่ตีพิมพ์ในบางกอกโพสต์ ซึ่งเป็นการทำหน้าที่ตามปกติของทั้งนักศึกษาที่สะท้อนเหตุการณ์ออกมาเป็นละครและเสนอภาพข่าวที่น่าสนใจ
แต่ข้อสังเกตหนึ่งของสมศักดิ์ ที่มีต่อ ‘ดาวสยาม’ คือ ‘ดาวสยาม’ ตีพิมพ์ออกมาวันละ 2 กรอบในช่วง 6 ตุลาคม 2519 ในขณะที่ปกติจะตีพิมพ์เฉพาะกรอบบ่ายของแต่ละวันเท่านั้น และตั้งแต่มีการแสดงละครมีการออกวางตลาด 3 ครั้ง คือ บ่ายวันที่ 4 (ลงหัววันที่ 5 ) เช้าวันที่ 5 และบ่ายวันที่ 5 (แต่ลงหัววันที่ 6) ถ้านับเช้าวันที่ 6 ด้วย จะมี 4 ฉบับด้วยกัน
เขาชี้ประเด็นว่า มีหลักฐานที่ ‘ดาวสยาม’ ตีพิมพ์ภาพถ่ายจากการแสดงครั้งแรกตั้งแต่ฉบับที่ออกในบ่ายวันที่ 4 (ลงวันที่ 5 ซึ่งหาต้นฉบับไม่ได้แล้ว) ลักษณะอย่างไรบอกไม่ได้แล้ว แต่จากคำของ ‘ดาวสยาม’ เองที่พูดถึงเมื่อเกิดการกล่าวหาว่านักศึกษาแสดงละครหมิ่นองค์รัชทายาทที่ว่า “ภาพนั้นเล็กและดูไม่ชัดเจน” ซึ่งแสดงว่าในเย็นวันที่ 4 ‘ดาวสยาม’ ยังไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติจากภาพที่ลงใน ‘ดาวสยาม’ ครั้งแรก ดังนั้นในกรอบวันต่อที่ออกในเช้าวันที่ 5 ตุลาคม จึงไม่มีภาพเกี่ยวกับการแสดงละครเลย
แต่ในทางกลับกัน เช้าวันนั้นมีสื่อ 3 ฉบับที่พิมพ์ภาพถ่ายมาจากละคร คือ ประชาธิปไตย เนชั่น และบางกอกโพสต์ ซึ่งโพสต์เป็นเพียงฉบับเดียวที่เห็นหน้าด้านตรงของผู้ที่ถูกแขวนคอในละคร (อภินันท์ บัวหภักดี) ส่วนประชาธิปไตย เป็นภาพของวิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ ผู้แสดงอีกคนหนึ่ง (แสดงสลับกันเพราะผู้แสดงจะเจ็บหน้าอกเมื่อถูกแขวน) ส่วนเนชั่นเป็นภาพด้านข้างของอภินันท์ นอกจากนี้ คำบรรยายใต้ภาพของบางกอกโพสต์ยังระบุชัดเจนว่าเป็นการแสดง “ฉาก…การฆ่าแขวนคออย่างทารุณของแอ๊คติวิสต์สองคนหลังการกลับมาของอดีตผู้เผด็จการถนอม กิตติขจร”
อย่างไรก็ตาม สมศักดิ์ ไม่ได้ยืนยันชัดว่า ‘ฝ่ายขวา’ เกิดไอเดียเกี่ยวกับรูปภาพในบางกอกโพสต์ตั้งแต่เมื่อไร แต่ตั้งข้อสังเกตไว้ในราวช่วงบ่ายของวันที่ 5 ตุลาคม 2519 โดยยกหลักฐานของ วัลลภ โรจนวิสุทธิ์ ในหนังสือ ยังเตอร์กของไทย (2521) ว่า
“กลุ่มผู้รักชาติและแม่บ้านจำนวนประมาณ 300 คน” ที่ชุมนุมกันหน้าทำเนียบตั้งแต่เช้าวันนั้นเพื่อเรียกร้องให้เสนีย์ รับสมัคร สุนทรเวช และสมบุญ ศิริธร กลับเป็นรัฐมนตรี เมื่อใกล้บ่ายสามโมง
“ก็เกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงขึ้นมาและมีผลสะท้อนร้ายยิ่งนัก กล่าวคือผู้ที่มาชุมนุมอยู่นั้นได้หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ประจำวันที่ 5 ตุลาคม 2519 มาสามสี่ฉบับ มีภาพผู้ถูกแขวนคอเหมือนสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช…”
จากนั้นในช่วงค่ำของวันที่ 5 ตุลาคม 2519 นางนงเยาว์ สุวรรณสมบูรณ์ สมาชิกชมรมแม่บ้าน เข้าแจ้งความที่ สน.ชนะสงครามว่า ศูนย์นิสิตฯเล่นละครหมิ่นองค์รัชทายาทโดยเล่าว่า “14.00 น. ตนได้เห็นภาพในหน้า นสพ.บางกอกโพสต์…” หนังสือพิมพ์ทุกฉบับที่รายงานข่าวการชุมนุมของพวกนี้จนถึงประมาณเที่ยงวันหรือหลังเที่ยงวันเล็กน้อย ก็ยังไม่มีการกล่าวถึงเรื่องภาพแสดงละคร [10]
แต่เมื่อเรื่องนี้เริ่มแพร่กระจายในกลุ่มขวาหรืออนุรักษ์นิยม ‘ดาวสยาม’ รายงานดังนี้
“เมื่อวันที่ 5 เดือนนี้ เวลา 17.00 น. ได้มีบุคคลหลายอาชีพได้นัดประชุมโดย ยกรูปภาพในหน้าของ นสพ. ดาวสยาม ฉบับวันที่ 5 ต.ค. (กรอบแรก) [คือฉบับที่ออกในบ่ายวันที่ 4 – สมศักดิ์] และได้นำมาวิเคราะห์ถึงภาพและการกระทำของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาที่เล่นละครการเมืองในบริเวณลานโพธิ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยได้วิเคราะห์ว่ารูปภาพนั้นเหมือนสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช แต่เนื่องจากภาพนั้นเล็กและดูไม่ชัดเจน จึงได้ติดต่อขอมาที่ นสพ.ดาวสยาม และทาง นสพ. ดาวสยาม ก็ได้ให้ความร่วมมือ โดยขยายภาพให้ชัดเจนและไม่ได้มีการตบแต่งภาพแต่อย่างไร ส่งไปให้ยังตัวแทนของบุคคลกลุ่มนี้ที่มาขอรับ ที่ประชุมของบุคคลกลุ่มนี้ ได้มีมติเห็นพ้องต้องกันเป็นเอกฉันท์ว่าภาพนี้เป็นภาพที่ส่อเจตนาดูหมิ่นราชวงศ์จักรี….”
ทั้งนี้ สมศักดิ์ คาดว่าในช่วงบ่ายวันที่ 5 ตุลาคม 2519 ‘ดาวสยาม’ กรอบบ่าย (ลงวันที่ 6 ตุลาคม ) ได้ตีพิมพ์ภาพการแสดงละครอีกครั้ง และภาพนี้ถูกใช้ในการปลุกระดมตลอดเย็นและค่ำวันนั้น อย่างไรก็ตาม ดาวสยามกรอบนี้หาดูไม่ได้ในปัจจุบันแต่สมศักดิ์เชื่อว่าเคยเห็น ภาพละครแขวนคอในดาวสยามฉบับนั้น
ในความทรงจำของผม เป็นภาพแบบ “โคลสอัพ” ขนาดใหญ่ เห็นตัวละครที่ถูกแขวนเพียงครึ่งตัว เป็นไปได้ว่านี่คือ ภาพที่ ดาวสยาม เองกล่าวถึงว่าได้ “ขยายภาพให้ชัดเจนและ…ส่งไปให้ยังตัวแทน” ของกลุ่มฝ่ายขวาในเย็นนั้น (และอาจจะมาจากเป็นภาพที่ทั้ง ดาวสยาม และ บ้านเมือง พิมพ์ในกรอบเช้าวันที่ 6 แต่อันหลังซึ่งไม่มีผลต่อการรณรงค์แล้ว จะเป็นระยะไกลขึ้น แสดงตัวผู้เล่นเกือบทั้งตัว) ที่แน่ๆคือเป็นคนละภาพกับที่พิมพ์ใน บางกอกโพสต์ [11]
บทวิเคราะที่ตามมาของสมศักดิ์หลังจากตรงนี้น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะเขาไม่ได้พูดถึงประเด็นที่ ‘ดาวสยาม’ ตกแต่งหรือบิดเบือนภาพหรือไม่ แต่ชนวนของอารมณ์ความรู้สึกที่นำไปสู่ความรุนแรงกลับมาจากการรับรู้ที่แพร่หลาย และตามมาด้วยการนำเสนอของสื่อฉบับอื่นๆในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นกระแสและเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่สถานการณ์ในวันรุ่งขึ้น
แม้แต่ภาพใน ดาวสยาม ตอนบ่ายวันที่ 5 นี้ก็ไม่น่าจะเป็นภาพแต่ง? ผมไม่ได้ต้องการเสนอว่าเพราะหน้าคนเล่นละคร “เหมือน” อยู่แล้วจึงไม่ต้องแต่งภาพ แต่ต้องการจะเสนอว่า ความรู้สึกที่ว่า “เหมือน” นั้นที่สำคัญไม่ใช่มาจากหน้าคนเล่นละครแต่มาจากความรับรู้ (perception) ที่แพร่หลายไม่เพียงแต่ในหมู่ฝ่ายขวา แต่ในหมู่คนจำนวนไม่น้อยในขณะนั้นว่า ขบวนการนักศึกษา “แอนตี้สถาบัน” ด้วยเหตุนี้ ขอเพียงแต่ให้องค์ประกอบบางอย่างของภาพมีส่วนคล้ายคลึงเท่านั้น ก็ทำให้คิดไปในทางนั้นได้ทันที ในแง่นี้ เสื้อชุดทหารที่ตัวละครใส่อาจจะมีผลต่อความรู้สึกของคนดูภาพ มากกว่าใบหน้าตัวละครเสียอีก
เมื่อถึงเช้าวันที่ 6 ตุลาคม หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับก็ลงข่าวเรื่องนักศึกษาถูกกล่าวหาว่าเล่นละครหมิ่นองค์รัชทายาทแล้วราวกับว่านักศึกษาผิดจริงๆ และที่เหมือนกับจะเป็นการเยาะเย้ย (irony) ของประวัติศาสตร์ก็คือ บางกอกโพสต์ อาจเป็นฉบับที่ลงข่าวเข้าข้างนักศึกษาที่สุดในสถานการณ์เช่นนั้น แม้แต่ ไทยรัฐ หรือ ประชาชาติ ที่เคยเข้าข้างนักศึกษามาตลอดก็พาดหัวว่า “จับนักศึกษาหมิ่นฟ้าชาย” และ “สั่งสอบแขวนคอลานโพธิ์ ระบุภาพหมิ่นองค์รัชทายาท” ตามลำดับ โพสต์ เกือบเป็นฉบับเดียวที่ไม่ยอมระบุตรงๆเช่นนั้น แต่กลับพาดหัวเพียงว่า “สั่งสอบละครแขวนคอ ศูนย์นิสิตปฏิเสธผู้แสดงหน้าเหมือนใครทั้งสิ้น”[12]
ถึง 6 ตุลาคม 2519
ผมเห็นใบปลิวกระดาษปอนด์ลงรูปถ่ายที่กล่าวหาว่าพวกเราแสดงละครหมิ่นองค์รัชทายาท ตั้งแต่เวลา 18 น.วันที่ 5 ต.ค. ต่อจากนั้นผมได้ดู น.ส.พ. ดาวสยาม (มายืนขายหน้า ม.ธ. ด้วย ผมเห็นแล้วแค้นมากที่เราถูกกล่าวหาเช่นนั้น คนนับพันเมื่อวันที่ 4 เป็นพยานได้ เราไม่เคยแสดงละครแล้วตบแต่งรูปร่างหน้าตาดังรูปที่พิมพ์แจกออกนั้นเลย นศ.ปี 1 มธ.ดูตั้งนานแล้ว ไม่เห็นมีปฏิกริยาอะไร กลับมาเป็นเรื่อง เป็นราวเมื่อลงใบปลิวและลง น.ส.พ.นี่แหล่ะ ตอนนั้นผมไม่เข้าใจชัดนักว่า เขากล่าวหาเราเช่นนี้ทำไม คิดว่าคงใส่ร้ายป้ายสีกันตามเคย แต่ผมรู้สึกเหมือนคนอื่นๆว่าเหตุการณ์ตึงเครียดขึ้นทุกที) [13]
เนื้อความในจดหมายถึงเพื่อนจากในคุกของ ชวลิตร วินิจจะกูล หนึ่งใน 19 จำเลยคดี 6 ตุลาคม 2519 ได้เขียนเล่าบ่งบอกเหตุการณ์และความรู้สึกก่อนการรัฐประหารและนองเลือดในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ตอนนั้นเขาไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า ทำไม ‘ดาวสยาม’ จึงใช้ประเด็นสถาบันเบื้องสูงมาใช้กับนักศึกษา แต่การนำประเด็น ‘หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ’ ครั้งนี้คงความหวั่นวิตกให้เขาและเพื่อนๆที่ชุมนุมนธรรมศาสตร์ไม่น้อย จึงทำให้ในเวลาประมาณ 21.00 น. ทางศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาต้องนัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนครั้งใหญ่และด่วนที่สุด เพื่อแสดงหลักฐนและเหตุผลโดยให้ผู้แสดงละครเล่าความจริงทั้งหมดและให้ผู้สื่อข่าวดูใบหน้าและภาพถ่ายของ อภินันท์ ผู้แสดงว่าไม่เหมือนในใบปลิวเลย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสื่อมวลชนจะซักถามจนหมดข้อสงสัยแล้ว แต่จดหมายของชวลิตร ระบุว่าวิทยุ 200 สถานียังคงให้ข่าวแบบเดิมต่อไป ฝั่งสนามหลวงมีการชุมนุมของอีกฝ่ายหนึ่งที่เขาเรียกว่า ‘อันธพาล’ ที่สร้างความรุนแรงประปรายไปเรื่อยๆตลอดคืน เช่น การขว้างปาสิ่งของ จุดไฟเผา ทำลายข้าวของ หรือยิงปืนขู่ ในขณะที่ตำรวจที่มาดูแลทำหน้าที่เพียงมองเหตุการณ์อยู่เฉยๆเท่านั้น
จนกระทั่งเวลาประมาณ 4.00 น. วันที่ 6 ตุลาคม 2519 ตำรวจมากกว่า 200 คน มาล้อมทางเข้าออกทั้งหมดของธรรมศาสตร์ไว้พร้อมอาวุธครบมือ จากนั้นเสียงปืนจากอาวุธสงคราม ซึ่งเป็นอาวุธของเจ้าหน้าที่รัฐก็ดังขึ้นเป็นชุดๆ
เวลา 5.30 น. เสียงวิ๊ดดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงระเบิด มีคนตายและบาดเจ็บจากระเบิดลูกนี้ 3-4 คน หลังจากนั้นเสียงปืนระดมยิงก็ดังเข้ามาไม่มีหยุดในขณะที่ผู้ชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พากันเข้าไปหลบในตัวตึกอาคารต่างๆ เขาเล่าเหตุการณ์ช่วงนี้ว่า
“ยิ่งกว่าสงคราม เพราะที่นี่ฆ่าหมู่ฝ่ายเดียว ฝ่ายหนึ่งหมอบรอกระสุน อีกฝ่ายสูบบุหรี่ไปยิงไปอย่างเลือดเย็น
ผมเห็นภาพของตำรวจหลังออกจากคุก ท่ายิงอย่างสบายใจทั้งนั้น บางคนแบกปืนยิงรถถังทั้งที่ในธรรมศาสตร์ไม่มีรถถังสักคัน
หรือเขาอาจจะคิดว่า มีรถถังใต้หอฯใหญ่ มีเรือดำน้ำอยู่บนแท็งก์และในอุโมงค์ มีขีปนาวุธอยู่ที่ยอดโดม !” [14]
ในจดหมายฉบับที่ 2 เขาเขียนเล่าต่อไปว่า หลังจากเสียงระเบิดดังขึ้นเมื่อ 5.30 น. มีรถพยาบาลออกไปได้เพียงไม่กี่คัน เพราะมีคำสั่งห้ามจากข้างบน คนบาดเจ็บยิ่งมีมากจนรถพยาบาลไม่พอ จนต้องประกาศขอรถใครก็ได้มาลำเลียงคนเจ็บ แต่ถึงมีรถมากี่คันก็ถูกสั่งให้จอดรอจนคนตายอยู่ที่ท่าพระจันทร์
..ที่นี่นักศึกษาแพทย์ พยาบาลเริ่มต้นอาชีพในอนาคตด้วยการนั่งมองคนตายลงทีละคน
ได้ข่าวว่าโทรทัศน์วันนั้น ถ่ายภาพเหตุการณ์หน้า มธ.ด้านสนามหลวงไว้ได้มาก
ทั้งภาพกระชากสายน้ำเกลือออกจากร่างคนเจ็บ ภาพเทเปลคนเจ็บลงกับพื้นแล้วรุมกระทืบ ภาพรุมตีประชาทัณฑ์ ยังมีการแขวนคอแล้วกรีดคอจนเหวอะ แขวนคอแล้วเอาเก้าอี้พาด รุมตี ข่มขืนแล้วฆ่า จับลากไปเผาทั้งเป็น ฯลฯ
…หลังการจับกุมมีเสียงประกาศผ่านเครื่อขยายเสียง ตร.ว่า “ขณะนี้มีช่างภาพต่างประเทศเข้ามาแล้ว ขอให้หยุดกระทำการทารุณต่างๆเสีย” …พวกเขาเองก็ยอมรับว่าทารุณ แต่ก็ยังทำอยู่ กระทั่งเลิกเพราะกลัวความจริงจะเผยแพร่ไปทั่วโลก…
นี่คงเป็นเพียงภาพคล่าวๆของเหตุการณ์เท่านั้นว่า..ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เกิดอะไรขึ้น
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดครั้งนี้ ‘สื่อมวลชน’ เข้าไปมีบทบาทสำคัญ ในขณะที่การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนจากต่างประเทศอีกชุดหนึ่งได้มีส่วนช่วยทำให้เหตุการณ์เย็นลงได้ เพราะ ‘ความจริง’ มักเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับผู้อยู่ในที่มืดเสมอ
ในขณะที่ชาวต่างประเทศได้ดูภาพเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 กันอย่างจริงจังทุกแง่ทุกมุม และปราศจากการบิดเบือนข่าว – ภาพ คนไทยในประเทศกลายเป็นกลุ่มชนที่ถูกปิดบังไม่ให้ได้รับทราบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ในวันนั้น เมื่อมีผู้สนใจเข้าไปหาข้อเท็จจริงกลับถูกรัฐบาลที่มีอำนาจภายหลังเหตุการณ์จับกุมคุมขังข้อหา ‘เป็นภัยสังคม’ สำหรับการทำหน้าที่ของสื่อ มีเพียง ‘สรรพสิริ วิรยสิริ’ ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 เท่านั้นที่กล้านำเสนอภาพเหตุการณ์สดๆของเหตุการณ์นี้มาเผยแพร่หลังเหตุการณ์ผ่านพ้นไปไม่กี่ชั่วโมง ปรากฏว่าว่าเจ้าหน้าที่สถานีโทรทัศน์ช่องนี้ถูกปลดกันตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการสถานีมาจนถึงนักข่าว
สรรพสิริ เคยให้ความเห็นต่อเหตุการณ์นี้ว่า “ ลูกหลานเราทั้งนั้น ทำได้อย่างไร? คนไม่มีสิทธิจะผูกคอเขา”… “การเกลียดชังที่เห็นวันนั้นมาจากการเพาะเชื้อของบางคน” …
และเขายังกล่าวถึงการทำหน้าที่ในฐานะสื่อมวลชนด้วยว่า “ผมไม่มีปืน..ผมสู้ได้อย่างเดียวโดยเอาความจริงมาเปิดเผยให้คนได้รับรู้ นี่คือหน้าที่ของผม” [15]
ภาพที่ชัดเจนอีกอย่างหนึ่งของเหตุการณ์ คือการเข้ามีมีบทบาทของทหารที่เข้ามามีบทบาทอีกครั้งผ่านความวุ่นวายที่สื่อสร้างให้เพื่อนำไปสู่การรัฐประหารในตอนเย็น ฝ่ายทหารนำโดย ‘คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน’ มี พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ เป็นหัวหน้าคณะ ใช้เหตุผลที่สำคัญข้อหนึ่งในการรัฐประหารคือ ‘นักศึกษาหมิ่นฟ้าชาย’ ซึ่งมาจากการนำเสนอของสื่ออย่างครึกโครมและได้สร้างความรู้สึกร่วมของสังคมถ่ายทอดไปสู่ประชาชนได้ด้วยสื่ออย่าง ‘ดาวสยาม’ และ ‘วิทยุยานเกราะ’ ตลอดวันที่ 4,5 และ 6 ตุลาคม 2519
นอกจากนี้ยังมีเหตุผลต่อเนื่องกันที่ทหารนำมาใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงในการปราบปรามนักศึกษาและประชาชน ได้แก่ นักศึกษาชุมนุมและสะสมอาวุธในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่อก่อการกบฎ มีการปะทะกันระหว่างกลุ่ม ‘ผู้รักชาติ’ กับกลุ่มนักศึกษา และตำรวจคุมสถานการณ์ไม่ได้ จึงต้องบุกเข้าไปในธรรมศาสตร์ และเหตุผลข้อสุดท้ายคือ นักศึกษาอาศัยการมี ‘ประชาธิปไตยมากเกินไป’ หลัง 14 ตุลาคม 2516 เพื่อฉวยโอกาสเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะทำลายชาติ
NEO ดาวสยาม
บางทีภาพของ 6 ตุลาคม 2519 ทั้งเงื่อนไขและเป้าหมายอาจทำให้เราสามารถมองเห็นภาพหรือเงื่อนไขของปัจจุบันว่ามีความรู้สึกคลับคล้ายกัน หลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ประเด็น ‘หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ’ ได้ถูกกลุ่มผู้รักชาติ (ใหม่) กับ NEO ดาวสยาม ยกมาใช้เป็นเงื่อนไขเพื่อกระทำการเดินไปสู่เหตุการณ์ที่อาจคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ 6 ตุลาในอนาคตเพียงเพื่อต้องการกำจัดศัตรูทางการเมือง
ถ้า 6 ตุลาคม 2519 เกิดขึ้นบนเงื่อนไขของการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่กำลังระบาดอย่างเป็นโดมิโนจนกระทั่งนำไปสู่การล่มสลายของสถาบันระมหากษัตริย์ในลาวแล้วและใกล้ตัวเข้ามา หากมองในเงื่อนไขปัจจุบันกรณีความสั่นคลอนของสถาบันพระมหากษัตริย์เนปาลก็ได้กลายเป็นประเด็น ‘หวั่นวิตก’ ที่ถูกมาผูกโยงกับประเทศไทย
ในความคล้ายคลึงกัน NEO ดาวสยาม ยังคงเดินในแนวทางที่มีภาพลักษณ์เก่าเชยมาปลุกระดมทางการเมืองและทำให้ประเด็นเพียงการไม่ยืนตรงเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงหนังของคนสองคนกลายเป็นเรื่องของ ‘กลุ่มคน’ หรือ ‘ขบวนการ’ ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเพื่อทำให้ไทยกลายเป็นสาธารณรัฐ
ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้อาจต้องลองถามตัวเองหรือไม่ว่าเวลาเช่าหนังแผ่นมาดูที่บ้าน ดูกับครอบครัว ชวนคนข้างบ้านมาดู ได้เปิดเพลงสรรเสริญพระบารมีเพื่อยืนตรงและแสดงความเคารพแล้วหรือยัง ถ้า..ระดับความจงรักภักดีจะต้องวัดกันตรงไหนกันแน่???
ความจริงการที่สื่อมวลชนจำนวนหนึ่งอยากมีภาพลักษณ์ที่อนุรักษ์นิยมหรือเห็นแนวทาง ‘ดาวสยาม’ เป็นไอดอลคงไม่ใช่เรื่องผิดอะไรแม้จะถือแล้วไม่เท่ห์และอาจไม่เหมาะกับมาดนักธุรกิจที่ต้องมีวิสัยทัศน์ในโลกโลกาภัตน์ก็ตาม แต่มันก็เป็นเรื่องของเสรีภาพสื่อมวลชน อย่างไรก็ตามก็ต้องมองให้แยกขาดจากการวางตัวที่นำไปสู่เงื่อนไขในการเดินไปสู่สถานการณ์แบบ 6 ตุลาคม 2519 เพราะนั่นเป็นคนละเรื่องกับเสรีภาพอย่างสิ้นเชิง
สมศักดิ์ มีข้อสังเกตประการหนึ่งที่น่าสนใจมากและอาจใช้เป็นอนุสติของสังคมได้ เขามองว่า เหตุการณ์ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 แท้จริงแล้วไม่มีใครแม้แต่ผู้ที่ลงมือฆ่าหมู่และทำทารุณกรรมในเช้าวันที่ 6 เองสามารถรู้ล่วงหน้าตั้งแต่คืนวันที่ 5 ว่าจะเกิดการฆ่าหมู่ทารุณกรรมในลักษณะที่เกิดขึ้นจริง
“ในความเห็นของผม พวกเขาไม่ได้วางแผนมาว่าจะทำแบบที่ได้ทำจริงๆ สิ่งที่พวกเขาตั้งใจไว้มากที่สุดคือจะ ‘จัดการ’ นักศึกษาธรรมศาสตร์ ด้วยความรุนแรง แต่เมื่อพวกเขาปล่อยความรุนแรงออกมาแล้ว รูปแบบการคลี่คลายของมันเป็นเรื่องเป็นไปเอง”
“… เพราะสถานการณ์ที่พวกฝ่ายขวาก่อขึ้นมาในบ่ายวันที่ 5 ตุลาคม 2519 นั้นมันเหมือนกับผีดูดเลือด ที่เมื่อถูกปลุกขึ้นมาแล้วไม่มีใครสามารถควบคุมได้ ไม่มีใครสามารถทำให้มันสงบลงได้จนกว่ามันจะได้ดื่มเลือดคนจริงๆ” [16]
เพียงแต่ดูเหมือนว่าวันนี้ ‘ผีดูดเลือด’ จะถูกหมอผีคะนองฤทธิ์ปลุกเสกมาใหม่และดูท่ามันชักจะกระหายอยากดื่มเลือดมากขึ้นทุกทีๆ
ขุนพลน้อย
อ้างอิง
[1] สถิตินี้เป็นไปตามบันทึกสยามจดหมายเหตุ.ปีที่ 1 แต่กระนั้นตัวเลขที่ชัดเจนไม่มีใครทราบ และยังเป็นความลับที่ไม่อาจตรวจสอบได้จนถึงปัจจุบันนี้ (ที่มา : สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ . ‘เหตุการณ์ 6 ตุลาเกิดขึ้นได้อย่างไร ’.อาชญากรรมรัฐในวิกฤติการเปลี่ยนแปลง.คณะกรรมการรับข้อมูลและสืบพยานเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 , 2544)
[2] สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ เล่มเดียวกัน หน้าเดียวกัน
[3] เล่มเดียวกัน
[4] สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ หน้า 76
[5] สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ หน้า 131
[6] สมศักดิ์ เจียมธีระสกุล. ‘ผู้จัดการ-พันธมิตร กำลังก่อกระแส ‘ละคอนแขวนคอ’ ยุคใหม่’ ประชาไท. 2 พ.ค. 51
[7] สมศักดิ์ เจียมธีระสกุล: ประชาไท 2 พ.ค. 51
[8] สมศักดิ์ เจียมธีระสกุล: ประชาไท 2 พ.ค. 51
[9] สมศักดิ์ เจียมธีระสกุล. ‘ชนวน:ภาพแขวนคอที่นำไปสู่กรณี 6 ตุลา’ .ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง.สำนักพิมพ์ 6 ตุลารำลึก,2544
[10] สมศักดิ์ เจียมธีระสกุล : หน้า153
[11] สมศักดิ์ เจียมธีระสกุล หน้า 154
[12] สมศักดิ์ เจียมธีระสกุล หน้า 154
[13] ชวลิต วินิจจะกูล. ‘จดหมายจากชวลิต วินิจจะกูล’ . 6 ตุลา เราคือผู้บริสุทธิ์ .กรุงเทพฯ: คณะกรรมการประสานงาน 20 ปี 6 ตุลา,2539
[14] ชวลิตร วินิจจะกูล : เราคือผู้บริสุทธิ หน้า 26]
[15] ใจ อึ๊งภากรณ์. ‘สรุปข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาคม 2519’ . อาชญากรรมรัฐในวิกฤติการณ์เปลี่ยนแปลง อ้างต่อจาก I.T.V. 2542 ,สารคดี ต.ค. 2541 หน้า 139
[16] สมศักดิ์ เจียมธีระสกุล: หน้า 160]